วิธีการดูแลรักษายางรถยนต์ ดูแลอย่างไร ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว

วิธีการดูแลรักษายางรถยนต์ ดูแลอย่างไร ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว

การดูแลรักษายางรถยนต์ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การขับขี่ของคุณปลอดภัย หายห่วง ไร้ปัญหาในระหว่างการเดินทาง เพราะยางรถยนต์เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ สมรรถนะ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการขับขี่ การดูแลรักษายางรถยนต์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด

วิธีการดูแลรักษายางรถยนต์

การดูแลรักษายางรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานในทุกการเดินทาง จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ และสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัยที่สุด

1. เติมลมยางให้เหมาะสม


ควรจะต้องรักษาระดับความดันลมยางอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่เติมแรงดันลมอ่อนหรือแข็งจนเกินไป ซึ่งรถแต่ละประเภทก็จะมีระดับในการเติมลมยางที่ต่างกันไป ได้แก่ 

  • รถเก๋งหรือรถขนาดเล็ก ควรเติมประมาณ 30-32 PSI

  • รถยนต์ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ควรเติมประมาณ 30-35 PSI

  • รถแบบ 7 ที่นั่ง ควรเติมประมาณ 30-36 PSI แต่หากใช้บรรทุกของหนักควรจะเติมมากกว่านี้เล็กน้อย

  • รถกระบะ ควรเติมแรงดันลมล้อหน้าประมาณ 36-38 PSI และล้อหลังประมาณ 40-42 PSI หากมีการบรรทุกของหนักในกระบะหลัง สามารถเติมได้มากถึง 47-51 PSI

  • รถตู้ ควรเติมประมาณ 40-46 PSI

2. ตรวจสภาพยางสม่ำเสมอ


การตรวจสภาพยางสามารถทำได้การตรวจเช็กด้วยตัวเอง โดยดูจากสภาพภายนอก สำรวจว่ายางรถมีรอยรั่ว รอยขีดข่วนขนาดใหญ่ หรือยางบวมมากกว่าปกติหรือไม่ และนำส่งไปตรวจเช็กสภาพที่ศูนย์หรืออู่ซ่อมเพื่อความมั่นใจอีกครั้งก่อนออกเดินทาง

3. ตรวจเช็กดอกยาง


ตรวจเช็กว่าตัวบอกสภาพดอกยางหรือสะพานยางที่อยู่ร่องตรงกลางบริเวณหน้ายาง มีความหนาอยู่ในระดับเดียวกับดอกยางแล้วหรือไม่ หากมีความหนาในระดับเดียวกันก็ควรจะเปลี่ยนยางใหม่ได้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกยางเสื่อมสภาพกันเกินไป

4. ตั้งศูนย์และถ่วงล้อหลังเปลี่ยนยาง


หลังจากเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้ง ทางศูนย์ซ่อมหรือแม้กระทั่งร้านขายยางจะต้องตั้งศูนย์และถ่วงล้อเพื่อปรับให้ล้อทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และเจ้าของรถควรจะนำรถไปตรวจเช็กสภาพช่วงล่างเป็นประจำทุก 6 เดือนหรือ 1 ปี เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้น จะได้ทำการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทัน

5. ขับขี่รถยนต์ให้เหมาะสม


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพฤติกรรมในการขับขี่ก็มีผลต่อการเสื่อมสภาพของยางด้วยเช่นกัน หากมีการเบรกกระทันหันบ่อย ๆ หรือมีการออกตัวที่แรงจนเกินไปอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้ยางรถยนต์ที่มีการเสียดสีกับพื้นถนนเป็นประจำนั้นเสื่อมสภาพเร็วมากยิ่งขึ้น

ยางแบบไหนที่ควรเปลี่ยนทันที


แม้ว่าบางปัญหาที่เกิดกับยางอาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยางใหม่ในทันที แต่ก็จะมีความเสียหายบางอย่าง ที่หากเกิดขึ้นกับยางของคุณแล้ว ก็ควรจะรีบเปลี่ยนยางใหม่ในทันที ได้แก่

  • แก้มยางปริหรือแก้มยางแตก เพราะแก้มยางถือเป็นส่วนที่บางที่สุด หากปล่อยไว้ไม่ยอมเปลี่ยนในทันทีอาจเกิดอันตรายในการใช้งานและอันตรายบนท้องถนนได้

  • ถูกของมีคมทิ่มหรือตำจนเกิดรูรั่ว เพราะอาจเกิดเป็นร่องรอยที่ใหญ่ขึ้นได้

  • อุบัติเหตุรถชน หรือการกระแทกอย่างรุนแรง จนยางปูดบวม

  • ดอกยางสึกจนถึงเนื้อยาง เพราะจะขาดประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน 

  • ยางที่ผ่านการใช้งานมอย่างหนัก ไม่ต้องรอจนครบอายุการใช้งานก็ควรเปลี่ยนยางใหม่ได้เลย

  • ยางที่ได้รับการปะแล้วแต่ก็ยังรั่วอยู่

(อ่านเพิ่มเติม: เปลี่ยนยางรถยนต์ตอนไหนดี? รวมข้อสังเกตที่เจ้าของรถควรรู้)

บทสรุป

การดูแลยางรถยนต์ เป็นหนึ่งในการดูแลรักษารถคู่ใจของคุณด้วยเช่นกัน เนื่องจากยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนของรถ ทำให้การเดินทางของคุณมีความสะดวกสบายและปลอดภัย ซึ่งวิธีการดูแลยางรถยนต์ มีทั้งการสังเกตและตรวจเช็กด้วยตัวเอง หรือเพื่อความชัวร์ก็สามารถส่งศูนย์หรืออู่ซ่อมเพื่อตรวจเช็กสภพาก่อนออกเดินทางได้


และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการเลือกขนาดยางให้เหมาะสมกับประเภทของรถหรือการใช้งานของเรา เพราะแม้แต่รถประเภทเดียวกัน แต่มีการใช้งานที่ต่างกัน การเลือกยางรถยนต์ก็อาจจะต่างกันด้วยก็ได้ แต่หากไม่มั่นใจว่าจะต้องเลือกใช้ยางรถยนต์แบบไหน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ NVYANGYONT ที่พร้อมให้บริการอย่างครบวงจรด้วยทีมงานระดับคุณภาพมากประสบการณ์

บทความเพิ่มเติม: