ยางรถยนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการขับขี่รถยนต์ เพราะเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง และมีผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแบบไหน หรือการเดินทางใกล้หรือไกล การตรวจเช็กยางรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะเปลี่ยนยางรถยนต์? เพราะบางทีเราอาจจะเห็นว่ายางรถยนต์ยังอยู่ในสภาพดี หรือยังไม่ถึงกำหนดที่ควรจะเปลี่ยนยาง แต่การเสื่อมสภาพของยางเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ในบทความนี้จึงจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอายุการใช้งานของยางรถยนต์ และวิธีตรวจสอบว่ายางรถยนต์ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้วหรือยัง
อายุการใช้งานของยางรถยนต์
โดยปกติแล้ว ยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี หรือการใช้งานเป็นระยะทาง 50,000-80,000 กิโลเมตรขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น ความถี่ในการขับขี่ การดูแลรักษา และสภาพถนนที่ใช้เป็นประจำ จึงทำให้อายุการใช้งานของยางไม่เท่ากัน ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด และขับขี่อย่างระมัดระวังมากที่สุด
ดังนั้น หากต้องการทราบว่าอายุการใช้งานของยางรถยนต์เหลือเยอะหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้จากปีที่ผลิตยาง หรือการเสื่อมสภาพหรือสัญญาณที่เกิดขึ้นกับยางในระหว่างการขับขี่รถยนต์ และที่สำคัญ หากยางรถยนต์มีการใช้งานมากกว่า 6 ปีขึ้นไป ควรจะเปลี่ยนยางรถยนต์ในทันที แม้จะมีดอกยางเหลืออยู่ เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่รถยนต์นั่นเอง
เช็กวันหมดอายุจากปีที่ผลิต
หนึ่งในวิธีที่จะเช็กอายุการใช้งานของยางรถยนต์ คือการนับจากวันหมดอายุ อย่างที่กล่าวไปว่ายางรถยนต์สามารถใช้งานได้ประมาณ 3-5 ปี ซึ่งเราจะเห็นว่าบนยางรถยนต์มีตัวเลขที่บ่งบอกถึงวันผลิตยาง โดยจะมีตัวเลข 4 หลักระบุไว้ตรงบริเวณแก้มยางที่อยู่ใกล้ ๆ กับขอบล้อ สามารถอ่านได้ดังนี้
ตัวเลข 2 หลักแรก เป็นตัวเลขของสัปดาห์ที่ผลิตยาง
ตัวเลข 2 หลักสุดท้าย เป็นตัวเลข 2 ตัวท้ายของปีคริสต์ศักราช (ค.ศ.) ที่ผลิตยาง
ตัวอย่างเช่น 2423 หมายถึง ยางผลิตในสัปดาห์ที่ 24 ของปี 2023
ควรจะเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อไหร่ดี?
หากต้องการเปลี่ยนยางรถยนต์ แต่ยังลังเลว่าเปลี่ยนตอนนี้จะคุ้มหรือไม่? หรือมีข้อสงสัยว่าควรจะเปลี่ยนยางรถยนต์ตอนไหนดี? การสังเกตและตรวจสอบประสิทธิภาพของยางรถยนต์สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น
อายุการใช้งานของยางรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี หรือระยะทาง 50,000-80,000 กิโลเมตรขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
หากตรวจสอบดอกยางแล้วพบว่าเหลือน้อยกว่า 1.6 มม. หรือสะพานยางมีระดับความหนาเท่าดอกยาง แสดงว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางรถยนต์แล้ว รวมถึงรอยฉีกขาด รอยแตก หรือยางบวม ก็ต้องรีบเปลี่ยนยางโดยเร็ว
หากรู้สึกว่าการควบคุมรถยนต์ทำได้ยากขึ้น หรือมีความผิดปกติในการบังคับรถในทางตรง ควรจะรีบนำรถเข้าอู่หรือศูนย์ซ่อม เพื่อเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทันที
สามารถสังเกตได้จากปฏิกิริยาระหว่างขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น การสั่นสะเทือนของล้อหรือพวงมาลัยที่มากกว่าปกติ, มีเสียงหอนคล้ายยางแตก หรือรถมีอาการกระตุกขณะขับขี่
นอกจากนี้ หากเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และส่งผลกระทบต่อยาง มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนยางรถยนต์พร้อมกับการซ่อมแซมในส่วนที่เสียหายในทันที ไม่ว่าจะเป็น ยางแตก, ยางระเบิด, ยางรั่ว หรือยางปูดบวม เป็นต้น
มีการเติมลมยางที่ไม่เหมาะสม
มีการตั้งศูนย์ถ่วงล้อแบบไม่เหมาะสม
พฤติกรรมการขับขี่ที่ทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น การขับรถเร็ว, การเบรกแบบกะทันหัน หรือการบรรทุกน้ำหนักเกิน
ขับขี่รถบนถนนขรุขระหรือสภาพถนนที่ไม่ดี
จอดรถในพื้นที่ร้อนจัดหรือกลางแดดเป็นเวลานาน
ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานจำกัด จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และไม่ใช่แค่อายุของยางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสื่อมสภาพของยาง ความถี่ในงานใช้งาน สภาพอากาศ และการดูแลรักษา ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการใช้งานและดอกยาง ดังนั้น หากต้องการใช้ยางรถยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จะต้องมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดีและมีการขับขี่อย่างระมัดระวังมากที่สุด
สำหรับใครที่ต้องการเปลี่ยนยางรถยนต์ในทุกสภาพอากาศอย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถเลือกซื้อได้ที่ NVyangyont ร้านขายยางที่มีทั้งยางรถยนต์ และอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับรถยนต์แบบครบวงจร พร้อมทั้งการดูแลจากทีมช่างและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ